วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Somewhere

มันเปิดขึ้นมาด้วยฉากอันโล่งเปล่า มีเพียงถนนลาดยางกับพื้นทรายและท้องฟ้าสีซีดเท่านั้น ก่อนที่เสียงเร่งเครื่องรถยนต์จะดังขึ้นแล้วเราก็เห็นรถคันงามวิ่งผ่านหน้ากล้องไปแล้ววนกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งแล้ว
แล้วรถคันนั้นก็หยุดลง ปรากฏเป็นชายวัยกลางคนเดินลงมาจากรถ สายตาที่ซ่อนเอาไว้ในแว่นดำทำให้เราไม่เห็นว่าเขากำลังมองที่อะไร
นี่คือฉากเปิดของ SOMEWHERE ภาพยนตร์ปี 2010 ของผู้กำกับชื่อดังจาก Lost in Translation อย่าง โซเฟีย คอปโปล่า
แม้หนังไม่ได้บอกเราอย่างชัดเจน แต่ SOMEWHERE เป็นเรื่องของ มาร์โค นักแสดงฮอลีวู้ดคนหนึ่งที่พักอาศัยอยู่ที่โรงแรม แต่ดูเหมือนว่าแต่ละวันของเขาเองก็จะไม่ได้มีแก่นสารอะไรมากนัก นอกจากการเสพหาความบันเทิงในแต่ละวันเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย นอกจากนั้นที่เรารู้คือเค้ามีลูกสาววัยสิบเอ็ดปีชื่อว่าคลีโอ และดูเหมือนสถาบันครอบครัวของพวกเขาจะไม่ได้มั่นคงอะไรนัก
ภาพนอกจากนั้นที่เราเห็นก็มีเพียงแค่การใช้ชีวิตในแต่ละวันที่ไร้แก่นสารของมาร์โค จนเมื่อวันหนึ่งลูกสาวของเขาก็ปรากฏตัวมาหาเค้าและอยู่ร่วมกันอย่างกระทันหัน
ที่จริงหากนึกว่าภาพของหนังเรื่องนี้ซ้อนกับ Lost in Translation ก็คงได้ เพราะในเรื่องนี้ถิ่นฐานที่มาร์โคและคลีโออยู่เป็นหลักคืออิตาลี หนังไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมอะไรเหมือนครั้งก่อน แต่เน้นไปที่เรื่องของผู้คน การใช้ภาษา หลายฉากที่ตัวละครต้องอยู่ในสภาพที่บีบกั้นท่ามกลางภาษาต่างถิ่นที่พวกเขาไม่เคยจะเข้าใจความหมายเลย
ที่จริง SOMEWHERE เองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของครอบครัวที่สวยงามเลิศหรูอะไรนัก ความขัดแย้งหรือปัญหาของตัวละครไม่ได้ถูกขับเน้นออกมาเหมือนหนังเรื่องอื่นที่มุ่งเน้นการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของตัวละคร หรือให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำซากและวนเวียนไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้จะจบลงเอไหร่
ความสัมพันธ์ของมาร์โคกับคลีโอเองก็ได้มีปัญหาอะไรใหญ่โตมากนัก พวกเขาไม่ได้ชิงชังอะไรต่อกัน กลับกันพวกเขาดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีด้วยซ้ำ คลีโอเป็นเหมือนเด็กทั่วไปที่มีความเฉลียวฉลาดและดูพึ่งพาได้ ในขณะเดียวกันสิ่งที่มาร์โคสามารถทำได้ก็คือการดูแลลูกสาวคนนี้ให้ดีโดยที่เขาสามารถทำได้คือการตามใจลูกและพาเธอไปพบกับความบันเทิงต่าง ๆ เพียงเท่านั้น และนอกเหนือกว่านั้นคือเราแทบไม่เห็นพวกเขาคุยอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก
นึกภาพดูแล้วอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระที่ต้องมาดูอะไรที่ดูเหมือนไร้จุดหมาย ภาพฟุตเตจของพ่อลูกเที่ยวเล่นที่ต่างถิ่น แต่เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง หนังก็แสดงให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเวลาที่ดูเหมือนจะไร้สาระที่เราเห็นนั้นมีค่ามากมายสำหรับพวกเขามากแค่ไหน
ที่จริงแล้วคงต้องพุดได้ว่า SOMEWHERE นั้นแสดงภาพของความสัมพันธ์เชิงพ่อลูกออกมาได้ดี โดยเฉพาะภาพของพ่อผู้ที่กลายเป็นว่าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรให้ลูกได้โดยตัวของเขาเอง เมื่อลูกสาวของเขาร้องไห้อย่างเจ็บปวดกับการที่ต้องกลับไปแล้วไม่เจอใคร แต่สิ่งที่มาร์โคทำได้มากที่สุดก็คือพาลูกสาวของเขาไปเปลี่ยนบรรยากาศที่คาร์สิโนเท่านั้นเอง
เมื่อเข้าช่วงปลายเรื่องหนังก็เดินเรื่องไปอย่างที่มันควรจะเป็น คลีโอต้องไปเข้าค่ายจึงต้องกลับก่อน ใน Lost in Translation ตัวละครสองคนจากกันโดยมีภาพความทรงจำดี ๆ ของโตเกียวอยู่ในความทรงจำ แต่กลับกันใน SOMEWHERE มันกลายเป็นว่าตัวละครคนหนึ่งต้องเดินออกไปและทิ้งตัวละครอีกคนไว้ภายใต้ความเงียบงัน มันกลายเป็นว่าทุกอย่างดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และมันเป็นการตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าที่ผ่านมามันว่างเปล่าแค่ไหน
และที่เจ็บปวดไปกว่านั้นคือตัวละครนั้นดูจะไม่มีทางออกเลย หนทางการแก้ปัญหาที่มีน้อยนิดนั้นก็ถูกปิดบวอย่างง่ายดาย และหนังยังต่อเวลาให้เราไปอีกโดยให้เห็นถึงภาพของมาร์โคที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเพียงลำพัง แม้เราจะเคยเห็นภาพเหล่าแล้วในช่วงต้นเรื่อง แต่มันก็ตอกย้ำเราไปอีกโดยที่ทำให้เรานึกภาพซ้อนที่มีคนอีกคนที่เคยอยู่ด้วย ณ ที่แห่งนี้
บ่อยครั้งที่หนังมีฉากปล่อยว่าง ตัวละครยืนเหม่อมองภาพของแสงไฟยามราตรี มันเป็นช่วงเวลาที่เวิ้งว้างจนเหมือนไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเค้าและเธอ ที่ควรจะอยู่ด้วยซึ่งกันและกันได้หายไปแล้ว
ฉากสุดท้ายของเรื่องอ้างอิงกับฉากแรกอย่างชัดเจน ชายคนหนึ่งที่ได้แต่ขับรถวนเวียนอยู่ที่เดิมในตอนแรก แต่มาในครั้งนี้เมื่อมาถึงถนนที่เงียบงัน รอบข้างไม่มีอะไรนอกจากถนนลาดยางและพื้นทรายรกร้างแต่เขาไม่ได้ขับรถคันเดิมวงรอบเหมือนคนหลงทางอีกต่อไป
ในเรื่องรถยนต์สีดำคันนี้เป็นพาหนะหลักที่คอยพาตัวละครเคลื่อนที่อยู่ตลอด มันเป็นพาหนะสุดหรูที่นำพาพวกเขาไปหาทุกสิ่งได้ เพียงแต่ยกเว้นตอนไปส่งลูกสาวเค้าเท่านั้นที่เป็นแทกซี่ และที่น่าสนใจคือหากไม่ใช่ฉากคุยกันในรถแล้ว ภาพของรถคันนี้ขณะวิ่งจะเป็นด้านหลังรถจากระยะไกลจนเราไม่อาจจะเข้าถึงได้เลยว่า ขณะที่รถวิ่งนี้ตัวละครกำลังคิดอะไรอยู่ หรือมันเป็นเพียงเกราะคุ้มกันที่แยกเราออกจากตัวละครก็ไม่ทราบได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินทางมาไกลแสนไกล เขาหยุดรถและทิ้งมันไว้ เดินตรงไปข้างหน้าราวกับมีจุดหมาย
เราไม่รู้หรอกว่าเขาจะเดินทางไปไหน
แต่ดูแล้วเหมือนเขาตัดสินใจได้แล้ว พร้อมสายตาแห่งความหวังที่เปี่ยมสุข